วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

Vegetarian low protein diet could be key to long life


 

Monday 11 April 2011


Health News
Vegetarian low protein diet could be key to long life
A vegetarian diet could be the key to a long life, a new study suggests.
Richard Alleyne
By Richard Alleyne,

Science Correspondent 7:30AM GMT 03 Dec 2009

Comment

Reducing consumption of a protein found in fish and meat could slow the ageing process and increase life expectancy, according to the research.

Scientists have long believed that an ultra low calorie diet - aproximately 60 per cent of normal levels - can lead to greater longevity.

But now a team of British researchers have discovered that the key to the effect is a reduction in a specific protein and not the total number of calories.

That means that by reducing foods that contain the protein - such as meat, fish and certain nuts - people should live longer wiuthout the need to cut down on meals.

Dr Matthew Piper, from the Institute of Healthy Ageing at University College London, said that a vegetarian diet could be one way to achieve the effect.
Related Articles

*

Good-life village where people live longest
04 Dec 2009

Studies in animals including monkeys have shown that reducing food intake can benefit health and increase lifespan.

Researchers have found that reducing calories by as much as 30 per cent could reduce risks of developing heart disease or cancer by half and increase lifetimes by nearly a third.

The extreme diets - just above malnutrition levels - add an extra 25 years to the average life in Britain with the vast majority of people living to their 100th birthday

But in a series of new experiments on fruit flies, scientists discovered that simply varying the mix of amino acids in the diet affected lifespan.

Further study revealed that one particular amino acid, methionine, made all the difference.

Although flies and people are very different, the researchers believe the effects are likely to be conserved throughout a wide range of different species including humans.

Dr Piper said: "It's not as simple as saying 'eat less nuts' or 'eat more nuts' to live longer - it's about getting the protein balance right, a factor that might be particularly important for high protein diets, such as the Atkins diet or body builders' protein supplements."

Methionine is essential to the formation of all proteins. It is naturally abundant in foods such as fish and meats as well as sesame seeds, Brazil nuts and wheat germ.

Humans have around four times more genes than the fruit fly, but both share many similar genes with basic biological functions.

Therefore, even though the fruit fly does not on the surface resemble humans, many findings about its basic biology can be extrapolated to humans.

"This work was done on flies but similar results have been found in mice," said Dr Piper. "If it turns it has the same effect on humans, then the message is avoid high levels of methionine.

*****************************
มังสวิรัติช่วยอายุยืน [EN]

การศึกษาใหม่พบ การลดโปรตีนจากปลา-เนื้ออาจช่วยชะลอชรา (ทำให้อ่อนเยาว์นานขึ้น) และทำให้อายุยืนขึ้น [ Telegraph ]

การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า อาหารที่มีกำลังงานหรือแคลอรีต่ำ โดยต่ำกว่าปริมาณที่ร้างกายต้องการประมาณ 40% อาจช่วยให้อายุยืนยาวขึ้น

อ.แมท ติว ไพเพอร์ และคณะจากสถาบันอายุยืนอย่างมีสุขภาพดี มหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน UK ทำการศึกษาพบว่า การลดโปรตีนบางอย่าง เช่น เนื้อ ปลา นัท (ผลไม้เปลือกแข็งกระเทาะเปลือก เช่น อัลมอนด์ ฯลฯ) โดยไม่ต้องลดแคลอรีก็ทำให้อายุยืนขึ้นได้

เคล็ดไม่ลับจากการศึกษาใหม่คือ อาหารแบบมังสวิรัติ (vegetarian diet) อาจช่วยได้

การทดลองในสัตว์หลายชนิด รวมทั้งลิง พบว่า การลดปริมาณกำลังงาน หรือแคลอรีในอาหาร ทำให้อาุยุยืนขึ้น

การลดแคลอรีมากจนถึง 30% มีส่วนช่วยลดเสี่ยงโรคหัวใจ หรือมะเร็งได้มากจนถึงครึ่งหนึ่ง และทำให้อายุยืนขึ้นได้เกือบ 1/3

อาหาร อายุยืนสูตรแคลอรีต่ำมีปริมาณอาหารมากกว่าระดับที่ทำให้คนเราขาดอาหารเพียง เล็กน้อย ทำให้คนเราอายุยืนขึ้นได้เฉลี่ย 25 ปี ซึ่งอาจทำให้คนอังกฤษอายุยืนได้ถึง 100 ปี

ปัญหาของ อาหาร สูตรแคลอรีต่ำ คือ ถ้าเกิดการติดเชื้อหรือป่วยเรื้อรัง... ร่างกายที่มีไขมันต่ำมากๆ อาจมีแรงกำลังน้อยลง สู้โรคภัยไข้เจ็บระยะยาวไม่ค่อยไหว

การ ศึกษาใหม่ทำในแมลงวันผลไม้ (fruit fries) พบว่า เพียงการเปลี่ยนส่วนผสมของกรดอะมิโน (amino acids) หรือโปรตีนในอาหาร ไม่ต้องลดกำลังงานหรือแคลอรี ทำให้อายุยืนยาวขึ้นได้
กรดอะมิ โนที่ มีผลต่ออายุมากๆ คือ เมไตโอนีน (methionine) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีกำมะถัน (sulfur) เป็นองค์ประกอบ และมีผลต่อการสร้างโปรตีนในร่างกายอย่างกว้างขวาง

เมไตโอนีนมีมากในอาหารบางอย่าง เช่น ปลา เนื้อ งา บราซิลนัท วีทเจิร์ม (wheat germ = จมูกข้าวสาลี) ฯลฯ

การศึกษาหลายรายงานพบปรากฏการณ์คล้ายๆ กันในหนูทดลอง คือ ถ้าหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเมไตโอนีนสูงมีแนวโน้มจะช่วยให้อายุยืนขึ้น

อาหารที่มีเมไตโอนีนสูงได้แก่ ไข่ขาว เนยแข็ง ปลา อาหารทะเล เนื้อ โปรตีนถั่วเหลือง งา สาหร่ายสไปรูลีนา นม

การศึกษานี้เป็นการศึกษาแรกเริ่ม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านต่อไป

ทว่า... บอกเป็นนัยว่า การไม่กินเนื้อ-ปลา-ไข่-นมมากเกินไป, เพิ่มสัดส่วนผัก-ผลไม้ทั้งผล (หรือน้ำผลไม้ปั่นรวมกาก ไม่ใช่น้ำผลไม้กรองกากทิ้ง) น่าจะดีกับสุขภาพในระยะยาว

ถ้ากินมังสวิรัติ... การไม่กินเมล็ดพืช เช่น งา ฯลฯ มากเกินไปน่าจะดี และอย่าลืม... ติดตามผลการศึกษาตอนต่อไปด้วยเสมอ

การกินโปรตีนจากสัตว์ให้น้อยลงสักครึ่งหนึ่ง เพิ่มโปรตีนจากพืชเข้าไปแทน มีส่วนช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้เช่นกัน

ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ

ลงบล็อค http://ilgreatli.blogspot.com/ ณ.วันที่ 11 / 4 / 2011

สารเร่งซุปเปอร์ พด.1 ของกรมพัฒนาที่ดิน


จากบทความที่แล้ว เรื่องการนำกากใบชามาทำเป็นปุ๋ย ผมได้เกริ่นถึง พด.1 เอาไว้เล็กน้อย ในบทความนี้ ผม เด็กชายแก้มป่อง จึงได้นำข้อมูลของกรมพัฒนาที่ดินและประสบการณ์ตรงขอผม มาถ่ายทอดให้ได้รับรู้กันครับ
ปุ๋ยหมัก เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งเกิดจากการนำซากหรือเศษเหลือจากพืชมาหมักรวมกัน และผ่านกระบวนการย่อยสลายโดยกิจกรรมจุลินทรีย์ จนเปลี่ยนสภาพไปจากเดิมเป็นวัสดุที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม เปื่อยยุ่ย ไม่แข็งกระด้าง และมีสีน้ำตาลปนดำ







ตามที่ผมศึกษามาจากหมอดิน แห่งอำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี คือ คุณ มลิ คล้ายมณี และดำรงต่ำแหน่ง หญิงเก่งประจำตำบล มหาสวัสดิ์ หรือ หญิงเก่งของ อำเภอ บางรวย นี่ผมไม่แน่ใจครับ ที่กล่าวก่อนเพราะท่านเป็นคนมอบความรู้เรื่องนี้ให้ประชาชนทั้งตำบล ได้หันมาใช้ปุ๋ยหมักตามธรรมชาติ แถมยังรักษ์โลกอีกด้วยครับ
อ้อ ตำแหน่งหมอดินนี่ ไม่ได้ตั้งกันขึ้นมาแบบลอยๆ ว่าใครอยากเป็นหมอก็ตั่งได้เหมือน หมอดู หมอนวด ตามอาชีพนะครับ แต่เป็นลักษณะของตำแหน่งที่ได้รับการมอบหมายจากส่วนราชการ ไอ้ส่วนไหนนี่ผมก็จำไม่ได้อีกแหละครับ แต่ขอบอกไว้ว่า หมอดินเนี่ย ไม่ใช่ใครอยากเป็นก็เป็นนะครับ เป็นผู้เชี่ยวชาญ และ ได้รับการแต่งตั่งขึ้นครับ
กลับมาเรื่องปุ๋ยดีกว่า ปุ๋ยที่หมักด้วย พด.1 นี้ บางท่านจะว่ามีกลิ่นเหม็น ผมก็ไม่เถียงนะครับ แต่กลิ่นของปุ๋ย พด.1 นี้ มันก็ไม่ได้มีกลิ่นที่เน่าแต่อย่างใด แต่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของมัน ก็ตามประสาปุ๋ยหมักแหละครับ กลิ่นแรง แต่ขอย้ำอีกที ไม่ใช่กลิ่นเน่าครับ ถึงแม้ว่า วิธีการที่ได้มา คือหมักให้เน่า แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่เยอะครับ
ซึ่งปุ๋ยดังกล่าว เป็นปุ๋ยที่หมักได้ เรียกได้ว่าเป็นปุ๋นเข้มข้น ทีเดียวครับ บางคนใช้แล้ว อาจจะไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีเลยก็ได้ครับ
ที่ว่าซากพืช หรือเศษพืชที่ว่า ก็มาจากในครัวเรือนนั่นแหละครับ พวกอาหารที่เหลือ เปลือกผลไม้ บางท่านเอาต้นหญ้า วัชพืชมาผสมด้วย ก็ดีไปอีกแบบครับ หรือจะใช้กากใบชาจากกระทู้ที่แล้วลงไปด้วยก็ได้ครับ



สารเร่งซุปเปอร์ พด.1


เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการย่อยสลายวัสดุเหลือใชจากการเกษตร และอุตสาหกรรมแปรรูป ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อผลิตปุ๋ยหมักในเวลารวดเร็วและมีคุณภาพสูงขึ้น ประกอบด้วยเชื้อรา และแอคติโนมัยซีสที่ย่อยสารประกอบเซลลูโลส และแบคทีเรียที่ย่อยไขมัน








กลุ่มจุลินทรีย์ดังกล่าว ท่านหมอดิน มลิ คล้ายมณี กล่าวว่า เป็นจุดที่ทำให้แตกต่างระหว่างปุ๋ย พด.1 และการเน่าครับ เพราะกิจกรรมทางจุลินทรีย์จาก พด.1 นี่เอง ทำให้ได้ผลผลิต(สารอาหารในปุ๋ย) แตกต่างจากการเน่าเสีย


จุดเด่นของสารเร่งซุปเปอร์ พด.1




1. มีประสิทธิภาพสูงในการย่อยสารประกอบเซลลูโลส
2. สามารถย่อยสลายน้ำมัน/ไขมันในวัสดุหมักที่สลายตัวยาก
3. ผลิตปุ๋ยหมักในระยะเวลารวดเร็ว และมีคุณภาพ

4. เป็นจุลินทรีย์ที่ทนอุณหภูมิสูง
5. เป็นจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างสปอร์จึงเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ได้นาน
6. สามารถย่อยวัสดุเหลือใช้ได้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น







ส่วนผสมของวัสดุ



ในการกองปุ๋ยหมัก 1 ตัน


เศษพืชแห้ง 1,000 กิโลกรัม

มูลสัตว์ 200 กิโลกรัม

ปุ๋ยไนโตรเจน 2 กิโลกรัม

สารเร่งซุปเปอร์ พด.1 1 กิโลกรัม






อันนี้เป็นสูตรของกรมพัฒนาที่ดินครับ หลายๆท่านอาจจะปรับสูตร หรือ เพิ่มรายละเอียดปลีกย่อยได้ตามวัสดุ อุปกรณ์ที่มีครับ



วิธีการกองปุ๋ยหมัก


การกองปุ๋ยหมัก 1 ตัน มีขนาดความกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร สูง 1.5 เมตร การกองมี 2 วิธี ขึ้นกับชนิดของวัสดุที่มีขนาดเล็กให้คลุกเคล้าวัสดุให้เข้ากันแล้วจึงกองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนวัสดุที่มีชิ้นส่วนยาวให้กองเป็นชั้น ๆ ประมาณ 3-4 ชั้น โดยแบ่งส่วนผสมที่จะกองออกเป็น 3-4 ส่วน ตามจำนวนชั้นที่จะกอง มีวิธีการกองดังนี้
1. ผสมสารเร่งซุปเปอร์ พด.1 ในน้ำ 20 ลิตร นาน 10-15 นาที เพื่อกระตุ้นให้จุลินทรีย์ออกจากสภาพที่เป็นสปอร์และพร้อมที่จะเกิดกิจกรรมการย่อยสลาย
2. การกองชั้นแรกให้นำวัสดุที่แบ่งไว้ส่วนที่หนึ่งมากองเป็นชั้นมีขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร สูง 30-40 เซนติเมตร ย่ำให้พอแน่นและรดน้ำให้ชุ่ม
3. นำมูลสัตว์โรยที่ผิวหน้าเศษพืช ตามด้วยปุ๋ยไนโตรเจน แล้วราดสารละลายสารเร่งซุปเปอร์ พด.1 ให้ทั่ว โดยแบ่งใส่เป็นชั้น ๆ
4. หลังจากนั้นนำเศษพืชมากองทับเพื่อทำชั้นต่อไป ปฏิบัติเหมือนการกองชั้นแรก ทำเช่นนี้อีก 2-3 ชั้น ชั้นบนสุดของกองปุ๋ยควรปิดทับด้วยเศษพืชที่เหลืออยู่เพื่อป้องกันการสูญเสียความชื้น


ขั้นตอนการทำปุ๋ยหมัก








การดูแลรักษากองปุ๋ยหมัก
 รดน้ำรักษาความชื้นในกองปุ๋ย : ให้มีความชื้นประมาณ 50-60%

 การกลับกองปุ๋ยหมัก : กลับกอง 10 วันต่อครั้ง เพื่อเพิ่มออกซิเจน ลดความร้อนในกองปุ๋ย และช่วยให้วัสดุคลุกเคล้ากัน หรือใช้ไม้ไผ่เจาะรูให้ทะลุตลอดทั้งลำและเจาะรูด้านข้างปักรอบ ๆ กองปุ๋ยหมัก ห่างกันลำละ 50-70 เซนติเมตร

 การเก็บรักษากองปุ๋ยหมักที่เสร็จแล้ว : เก็บไว้ในโรงเรือน อย่าตากแดดและฝนจะทำให้ธาตุอาหารพืชในปุ๋ยหมักสูญเสียไปได้





หลักการพิจารณาปุ๋ยหมักที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว

1. สี : มีสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำ

2. ลักษณะ : อ่อนนุ่ม ยุ่ย ไม่แข็งกระด้างและขาดออกจากกันได้ง่าย

3. กลิ่น : ปุ๋ยหมักที่เสร็จสมบูรณ์จะไม่มีกลิ่นเหม็น

4. ความร้อนในกองปุ๋ย : อุณหภูมิภายในกองปุ๋ยใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอกกอง

5. การเจริญของพืชบนกองปุ๋ยหมัก : พืชสามารถเจริญบนกองปุ๋ยหมักได้โดยไม่เป็นอันตราย

6. การวิเคราะห์ทางเคมี : ค่าอัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจนเท่ากับหรือต่ำกว่า 20 : 1


อัตราและวิธีการใช้ปุ๋ยหมัก


 ข้าว : ใช้ 2 ตันต่อไร่ หว่านให้ทั่วพื้นที่แล้วไถกลบก่อนปลูกพืช

 พืชไร่ : ใช้ 2 ตันต่อไร่ โรยเป็นแถวตามแนวปลูกพืช แล้วคลุกเคล้ากับดิน

 พืชผัก : ใช้ 4 ตันต่อไร่ หว่านทั่วแปลงปลูกไถกลบขณะเตรียมดิน

 ไม้ผล ไม้ยืนต้น :

เตรียมหลุมปลูก : ใช้ 20 กิโลกรัมต่อหลุม คลุกเคล้าปุ๋ยหมักกับดินใส่รองก้นหลุม

ต้นพืชที่เจริญแล้ว : ใช้ 20-50 กิโลกรัมต่อต้น ขึ้นกับอายุของพืช โดยขุดร่องตามแนวทรงพุ่มใส่ปุ๋ยหมักในร่องและกลบด้วยดิน หรือหว่านให้ทั่วภายใต้ทรงพุ่ม
 ไม้ตัดดอก ใส่ปุ๋ยหมัก 2 ตันต่อไร่ ไม้ดอกยืนต้นใช้ 5-10 กิโลกรัมต่อหลุม

 ใส่ปุ๋ยหมักช่วงเตรียมดิน และไถกลบขณะที่ดินมีความชื้นเพียงพอ จะทำให้ธาตุอาหารเป็นประโยชน์ต่อพืชสูงสุด


ประโยชน์ของปุ๋ยหมัก

 ปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน ทำให้ดินร่วนซุย การระบายอากาศ และการอุ้มน้ำของดินดีขึ้น รากพืชแพร่กระจายได้ดี

 เป็นแหล่งธาตุอาหารพืชทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ

 ดูดยึดและเป็นแหล่งเก็บธาตุอาหารในดินไม่ให้ถูกชะล้างสูญเสียไปได้ง่าย และปลดปล่อยออกมาให้พืชใช้ประโยชน์ทีละน้อยตลอดฤดูปลูก

 เพิ่มความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดเป็นด่างของดิน

 เพิ่มแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ดิน ทำให้ปริมาณและกิจกรรมจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดินเพิ่มขึ้น







คำเตือน : การหมักปุ๋ยในจำนวนมาก มันย่อมมีกลิ่นเกิดขึ้น ขอให้ระวังเรื่องนี้ด้วยครับ อาจจะไปรบกวนชาวบ้านเอา แล้วจะวุ่นวายครับ



ขอขอบคุณ ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดิน


ขอขอบคุณ หมอดิน มลิ คล้ายมณี




ลงบล็อค http://ilgreatli.blogspot.com/ ณ.วันที่ 11 / 4 / 2011


นำกากใบชามาใช้ทำปุ๋ย



อันเนื่องมาจากห้อง ต้นไม้@พันทิป มีบุคคนท่านนึงตั้งกระทู้ถามว่า กากใบชาที่บ้านมีเยอะ คือมีทุกวัน เพราะดื่มชาทุกวัน จะเอามาใช้ทำปุ๋ยได้ไหม ทำอย่างไร มีวิธีการแบบไหน

ผมว่าเรื่องนี้ถ้าให้ตอบ คงคุยกันยาวครับ ด้วยความรู้อันน้อยนิดที่ผมมี ผมขอแชร์ประสบการณ์แล้วกันนะครับ

อันเนื่องจาก ท่านแม่ผมดื่มชาบ่อยๆครับ ซึ่งเป็นชาสด คือชาที่ชงเอง ไม่ใช่ชาขวดๆตามที่ขายกันทั่วไป ทำให้เกิดกากชา หรือเศษใบชาที่เหลือจากการชง ซึ่ง ถ้าทิ้งไปทุกวันๆ ผมก็ว่ามันก็เยอะพอสมควรครับ

 เลยเอามาโรยๆรอบต้นไม้ วันไหนอากาศดีๆ แดดร้อนๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ ถ้าช่วงไหนฝนครึ้มๆหน่อย แดดหายไปหลายวัน กากชาที่โรยรอบต้นไม้ก็ทำปัญหาเชื้อราได้ครับ

วันนี้ผมจึงขอแนะนำวิธีการใช้กากชาให้เป็นประโยชน์ครับ

วิธีแรก อย่างที่ผมบอกครับ โรยไปรอบๆต้นไม้นั่นแหละ ง่ายดี เพียงแต่วิธีการนี้ต้องระวังแต่เรื่องเชื้อราที่อาจจะเกิดขึ้นได้ครับ จะใช้ได้ดีก็ในที่ๆมีอากาศถ่ายเท และมีแสงแดดพอสมควรครับ

วิธีต่อมา คือนำมาผสมในดินครับ โดยการตากให้แห้งก่อน จะกลายเป็นปุ๋ยจำพวกใบไม้แห้งครับ ผสมลงในชั้นปุ๋ยเวลาปลูกต้นไม้ได้ครับ

วิธีที่ 3 ไม่ต้องตากให้แห้ง แต่ใช้ผสมในดิน ในชั้นปุ๋ยไปเลย ก็จะกลายเป็นปุ๋ยพืชสดครับ แต่อย่างที่บอกครับ ปัญหาที่มาจาก กากชาที่เปียกชื้น ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดเชื้อราได้ครับ แม้จะอยู่ในดินก็เถอะ ยังทำให้เกิดปัญหาเชื้อราในดิน ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช หรือต้นไม้ที่ปลูกได้ครับ บางทีก็ทำให้ดินเสื่อมสภาพไป บ้างก็ทำให้ต้นไม้แคระแกร็นได้ครับ

แต่วิธีที่ผมแนะนำคือวิธีสุดท้ายครับ คือเอาไปทำปุ๋ยหมักครับ จะเป็นปุ๋ยหมักทั่วไปก็ได้นะครับ แต่ผมอยากให้ทำเป็นปุ๋ยหมัก พด. 1 ครับ มันมีประโยชน์มากกว่า

วิธีการคือ มองกากใบชาที่ว่า เป็นเศษพืช และ กากอาหารตามครัวเรือนครับ แล้วเอาลงไปหมัก จะได้ปุ๋ยชั้นเยี่ยมเลยครับ ผมจะยังไม่ขอเล่าในหัวข้อนี้นะครับ พด.1 คืออะไร มีประโยชน์อะไร เพราะมันคงจะออกนอกหัวข้อนี้ไป ไว้จะมาเล่าให้ฟังคราวหน้าครับ

สวัสดี

_____________________________________________________________________________

เนื่องจากมีผู้เข้าชมบล็อคอย่างต่อเนื่อง ผมขออธิบายเรื่อง พด.1 เลยนะครับ

ตามดู ตามชมได้ใน

http://ilgreatli.blogspot.com/2011/04/1.html

ขอบพระคุณที่เยี่ยมชมครับ
ลงบล็อค http://ilgreatli.blogspot.com/ ณ.วันที่ 11 / 4 / 2011

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีเพาะต้นกล้าแบบแปลกๆครับ

เนื่องจากช่วงนี้ ผม เด็กชายแก้มป่อง อยู่ในช่วงปิดเทอม จึงได้หางานอดิเรกทำครับ

อันที่จริง ก็เริ่มหาตั่งแต่ก่อนปิดเทอมแล้วล่ะ ด้วยความที่รู้ตัวว่าตัวเองจะว่าง เลยรีบหางานทำไว้ก่อน

ซึ่งบังเอิญเหลือเกิน ที่ได้เข้าห้องต้นไม้ ที่เว็บพันทิป มีผู้ใจดีทั้งหลายมองเมล็ดพันธุ์ฟรีๆให้มาลองปลูกเล่นๆครับ เลยได้โอกาศ ค้นหาข้อมูลจากเว็บ อากู๋( http://www.google.co.th/ ) ถามถึงวิธีการเพาะเมล็ด ก็เจอวิธีนี้เข้าให้ครับ นอกจากประหยัดแล้ว ยังสามารถช่วยให้ต้นกล้าที่ได้ มีอัตรการรอดที่สูงขึ้นด้วยครับ

ก่อนอื่น ขอขอบคุณข้อมูล และบทความดีๆจากเว็บจ้าวไก่ (www.jawkaikaset.com)

ที่ต้องขอขอบคุณก่อน เพราะเป็นบทความของเค้าครับ ซึ่งตรงกับความตั่งใจของผมคือ จะรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ไว้ที่บล็อคนี้ เผื่อวันใดวันหนึ่งในอนาคต ข้อมูลดังกล่าวหายไป อย่างน้อยก็ยังมีสำรองที่นี่อีกแห่งครับ แต่!! ผมไม่ได้ก๊อบมาทั้งดุ้นแน่นอน  เพราะผมจะได้สอดแทรกวิธี และประสบการณ์ของผมลงไปด้วยครับ

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อน ว่าทำไม ถึงต้องให้อัตราการเพาะกล้านั้นสูงด้วย
1. เพราะยิ่งมีต้นกล้าที่รอดจากการเพาะ คือเพาะขึ้น ก็ทำให้เราได้ผลผลิตที่มากขึ้นนั่นเอง
2.ถ้าเมล็ดที่เราใช้เพาะนั้น เมล็ดเมล็ดที่หายาก ราคาแพง แล้วถ้ามีจำนวนไม่มาก คงเสียดายแย่
3.เมล็ดที่เกษตกรใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เป็นเมล็ดที่ได้รับการตัดแต่งพันธุกรรม ทำให้มีราคาที่สูงครับ
4.เมล็ดดังกล่าว หลายๆบริษัททำมาให้เป็นเมล็ดรับลูกรุ่นเดียวครับ คือถ้ามีผลผลิตออกมา ก็ไม่สามารถนำไปเพาะรุ่นต่อไปได้ จึงต้องซื้อ ยิ่งทำให้ต้องซื้อเมล็ดที่มีราคาแพงขึ้นนั่นเอง
5.ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม ทุกคนย่อมอยากให้ผลผลิตที่ได้ ออกมามีประมาณมาก และมีราคาและคุณภาพสูงใช่ไหมครับ

เอาล่ะ เข้าเรื่องดีกว่าครับ วิธีเพาะเมล็ดที่ว่า นั้นก็ง่ายมากจนผมไม่อยากเชื่อครับ เพราะใช้เพียงแค่ทรายเท่านั้นเอง ผมขออนุญาติไม่ลงรูปนะครับ แต่อ่านเอา ถ้ามือเก่าๆหน่อย ผมว่าเข้าใจแน่ครับ ^^

1.ขั้นแรก เราเริ่มด้วยการนำทรายมาร่อน ให้เหลือส่วนละเอียดๆครับ

2.เอาทราบส่วนที่ได้ นำไปเกลี่ยลงในตระกร้า หรือถาดพลาสติก หรือวัสดุอื่นๆที่เรามีครับ

3.เกลี่ยให้เรียบเลยครับ แล้วกรีดเป็นร่องๆ ใช้นิ้วนี่แหละครับ กรีดยาวๆเลย ลึกซักเซนนึงก็พอครับ

4.เอาเมล็ดที่จะเพาะ มาโรยใส่ตามร่องที่เราได้กรีดไว้ครับ
(แอบบอกนิดนึงครับ เมล็ดจะงอกง่าย ให้เอาไปแช่น้ำซักคืนก่อนครับ)

5.โรยทราบกลบบางๆครับ แล้วรดน้ำเบาๆพอชุ่ม

6. รอ ร๊อ รอ... จนมันงอก ซักอาทิต หรือแล้วแต่ชนิดเมล็ดพันธุ์ครับ

7.เตรียมดินเพาะต้นกล้าครับ จะใส่กระถาง หรือ ถาดเพาะก็แล้วแต่สะดวกล่ะครับ

8.เอาต้นกล้าที่เพาะได้ มาล้าง ราก ล้างทรายออกน่ะครับ เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้ครับ ทราย ทำให้เมล็ดงอกออกมาง่าย เก็บความชื้นดี และพอนำลงดิน ก็สะดวกด้วยครับ

9.เอาลงถาดเพาะที่เตรียมไว้ หรือ กระถางได้เลยครับ แต่ระวังหน่อยนะ มันบอบบาง

10.ซัก 10-15 วัน ถ้าเพาะในถาดเพาะ ก็นำไปลงดินได้ครับ แต่ที่ผมบอกให้ลงกระถางตั่งแต่แรกเลยนั่นก็เพราะว่า บางคนปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ คงไม่ต้องไปเพาะกล้าให้เสียเวลาก่อนน่ะครับ


ง่ายไหมล่ะครับ 10 ขั้นตอน ดูเหมือนจะเยอะนะครับ แต่อันที่จริงแล้ว แต่ละขั้นตอนมันละเอียดน่ะครับ แต่รับรอง รอดเยอะครับ วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีครับ

ลงบล็อค http://ilgreatli.blogspot.com/ ณ.วันที่ 9 / 4 / 2011

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

โรคกระเพาะอาหารกับอินทผาลัม

           




                 โดยทั่วไปแล้ว....... คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า อาการปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่โดยเฉพาะอาการที่ปวดเรื้อรังมานานเป็นโรคกระเพาะอาหาร แต่แท้ที่จริงแล้วอาการปวดท้องอาจเกิดจากโรคอื่นๆภายในช่องท้อง เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน แผลเพ็บติก โรคของตับ ถุงน้ำดี โรคมะเร็งกะเพาะอาหาร เป็นต้น

                 บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก  (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร

                    คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย

                    บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก  (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย

                สาเหตุของโรคแผลเพ็บติกเกิดขึ้นเนื่องจากปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหารกับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่สมดุลกัน หากกรดหลั่งมากเกินไปหรือความต้านทานต่อกรดลดลงก็จะทำให้เกิดแผลเพ็บติกขึ้นได้ ปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญของแผลเพ็บติก ได้แก่ การติดเชื้อเอชไพโลไร ( Helicobactor pylori )
การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งอาจไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคโดยตรง เช่น การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด ผู้ที่มีหมู่โลหิตโอ และความเครียดทางอารมณ์

                อาการของโรคที่สำคัญ ได้แก่ ปวดหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ พบบ่อยที่สุดเวลาหิวหรือท้องว่าง จึงมีอาการเฉพาะบางช่วงของวัน ปวดท้อง แน่นท้อง อาการปวดมักจะเป็นๆหายๆ เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดใหม่อีก แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี แต่สุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ทรุดโทรม

                การรักษาโรคแผลเพ็บติกนอกจากจะให้ยาลดกรดเพื่อบรรเทาอาการแล้ว ยังต้องรักษาที่สาเหตุของโรคด้วย ทั้งนี้คนไข้ควรทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย ทานตรงกันทุกมื้อ เลี่ยงอาหารรสจัด งดชา กาแฟ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด และลดความวิตกกังวล แต่หากมีอาการแทรกซ้อนก็ควรรีบพบแพทย์

                จากรายงานการวิจัยของ King Saud University ซาอุดิอาระเบีย ตีพิมพ์ใน Journal of Ethnopharmacology ปี 2005 ทำการทดลองโดยให้สารสกัดจากอินทผาลัมและเมล็ดให้กับหนูRat ในขนาด 4 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม ต่อเนื่องกันนาน 14 วัน โดยใช้ Ethanol เหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนู เปรียบเทียบกับยา Lansoprazole ขนาด 30 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม พบว่า สารสกัดจากน้ำและEthanol ที่ได้จากผลอินทผาลัมและเมล็ดนั้น ทำให้ความรุนแรงของแผลในกระเพาะอาหารลดลงและยังช่วยบรรเทาการหลั่งฮิสตามีน และ gastrin จากการเหนี่ยวนำด้วย Ethanol และยังลดระดับมิวซิน (mucin) ในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย จากการทดลองครั้งนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่าความสามารถป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหารของสารสกัดจากอินทผาลัม อาจเกิดจากหลายๆปัจจัย รวมทั้งอาจเกิดจากฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย


ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)  กล่าวว่า
“ ผู้ใดที่รับประทานอินทผาลัมที่มาจากอัจวะฮฺ 7 เม็ดในตอนเช้าแล้ว ในวันนั้น
          พิษร้ายหรือเวทมนตร์จะไม่ทำอะไรเขาเลยตลอดวัน ”   
     
                                                                                                                                     
(ซอเฮียะฮฺบุคอรี, 664)

             
               ...รู้อย่างนี้แล้ว... ใครที่มีปัญหาปวดท้องหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร
ก็ลองหันมาใส่ใจตัวเองด้วยการทานอินทผาลัมวันละ 7 เม็ด อินชาอัลลอฮฺอาการน่าจะดีขึ้นและเราก็ยังได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) อีกด้วย


บรรณานุกรม

-           พญ.เพ็ญแข แดงสุวรรณ, 2548, โรคกระเพาะอาหาร, สำนักพิมพ์ใกล้หมอ

-          A.A.Al-Qarawi, H.Abdel-Rahman et all, 2005, “The ameliorative effect of dates (Phoenix  dactylifera L.) on ethanol-induced gastric ulcer in rats”.Journal of Ethonopharmacology 98, 313-317.

-           2007, Hadith, [online], Access : www.searchtruth.com

http://www.annisaa.com/index.php?option=com_content&task=view&id=7&Itemid=30

ลงบล็อค http://ilgreatli.blogspot.com/ ณ.วันที่ 9 / 4 / 2011

อินทผลัม หรือ อินทผาลัม ผลไม้แสนวิเศษ

อินทผลัม (อิน-ทะ-ผะ-ลํา)  หรือ อินทผาลัม เป็นปาล์มชนิดหนึ่ง

ลักษณะทางกายภาพ

อินทผลัมเป็นพืชตระกูลปาล์มมีหลายสายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง สามารถเจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งแบบทะเลทราย ลำต้นมีความสุงประมาณ 30 เมตร มีขนาดลำต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร มีใบติดอยู่บนต้นประมาณ 40-60 ก้าน ทางใบยาว 3-4 เมตร ใบเป็นแบบขนนก ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกจะออกจากโคนใบ ผลทรงกลมรี ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ออกเป็นช่อรสหวานฉ่ำ ทานได้ทั้งผลดิบและสุก ผลจะมีสีเหลืองจนถึงสีส้มและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้มเมื่อแก่จัด ผลสุกมักจะนำไปตากแห้ง สามารถเก็บไว้เป็นเวลาหลายปี มีรสชาติหวานจัด จึงมักถูกเข้าใจผิดว่ามีการนำไปเชื่อมด้วยน้ำตาล

การขยายพันธุ์
  1. การใช้เมล็ด
  2. การแยกหน่อจากต้นใหญ่ (ตัวเมีย) โดยเลือกต้นแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป

ประโยชน์ของอินทผลัม

สามารถแบ่งได้ 2 ด้านใหญ่คือ
  1. ด้านคุณค่าทางโภชนาการ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของอินทผลัม เช่น แคลเซียม ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมงกานีส แมกนีเซียม และน้ำมันโวลาไตล์ ทั้งยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยลดอาการท้องผูก รวมถึงให้พลังงานสูง บำรุงร่างกายที่อ่อนล้าให้กลับมีกำลัง นอกจากนี้ยังสามารถบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมแม่ด้วย
  2. ด้านการรักษาโรค อินทผลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิว แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศีรษะ ช่วยลดเสมหะในลำคอ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกอยู่ในลำไส้และระบบทางเดินอาหาร มีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งในช่องท้อง
สรรพคุณทางยา อินทผาลัมมีมากมายเช่น แก้กระหายน้ำ และลดเสมหะในลำคอ

อินทผาลัมในภาษาอาหรับมีหลายชื่อ ถ้าสุกและตากแห้งแล้วเรียกว่า ตะมัร ถ้าเพิ่งสุกเรียกว่า รุฏ็อบ(รุ ดร๊อป)

---ช่ออินทผาลัมบนต้น---


อินทผลัมสด(ในกล่อง) Palmfruit เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย และทุกโรค ที่บอกว่าทุกโรค เพราะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน สามารถรับประทานได้อย่างสบายใจไม่ต้องกลัวระดับน้ำตาลจะขึ้น เพราะความหวานมาจากผลไม้ ไม่ใช่มาจากการเชื่อมแต่อย่างใด ฉะนั้นลองทานไปสักพัก แล้ววัดระดับน้ำตาลได้เลย แล้วคุณจะรู้ว่าระดับน้ำตาลลงได้อย่างเหลือเชื่อ หรือแม้แต่โรคความดันโลหิตสูง ทานไปสักพัก ลองวัดความดันของคุณ มันจะลงอย่างเหลือเชื่อ บอกไว้แค่ 2 โรคก่อน ที่เหลืออยากให้ลอง เพราะผลไม้นี้ไม่เพียงรักษาโรค แต่ยังทำให้ขับถ่ายง่ายไม่แพ้ลูกพรุนอีกด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ขอแนะนำให้ทานประมาณ 2 เมล็ด หรือมากกว่านั้นตามความต้องการแล้วดื่มน้ำตาม รับรองอิ่ม (ถ้าไม่ตามใจปากนะ)

การปลูก

1. ต้นที่ปลูกจะใช้วิธีการแยกหน่อจากต้นใหญ่ (ตัวเมีย) โดยเลือกต้นแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หน่อมีขนาดใหญ่ดีกว่าขนาดเล็ก เมื่อตัดจากต้นแม่แล้วจะมัดรวบใบไว้ก่อน (ควรใช้หน่อที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้ว ขึ้นไป) ราคาต้นพันธุ์ประมาณ 15-20 RO ขึ้นอยู่กับพันธุ์ (ประมาณ 1,500-2,000 บาท ; 1 RO = 100 บาท)

2. เมื่อปลูกแล้วประมาณ 3 ปี จะเริ่มให้ผลผลิต 3. การปลูกจะขุดหลุม ขนาด 0.8 x 0.8 x 0.8 เมตร ปลูกให้หน่ออยู่ลึกลงไปในหลุม และหน่อจะลึกลงไปในดินประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้สามารถเก็บน้ำไว้สำหรับต้นที่ปลูกใหม่ได้ดี ระยะปลูกใหม่ยังไม่ให้ปุ๋ย ให้เหลือเพียงแต่น้ำทุก 5 วัน เมื่อตั้งตัวแล้วประมาณ 1 เดือน จึงจะเริ่มให้ปุ๋ยคอก ต้นละประมาณ 2 กิโลกรัม ในการปลูกระยะแรกจะยังคงมัดรวบใบไว้จนกว่าต้นจะฟื้นและตั้งตัวได้ จึงจะตัดเชือกที่ผูกออก วิธีการนี้จะใช้กับการย้ายต้นใหญ่ๆ ไปปลูกที่อื่นด้วย จะช่วยให้ต้นรอดตายมาก

การดูแลรักษา


1. การปรับพื้นดิน ในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วทุกปี (ประมาณเดือนกันยายน) จะมีการใช้รถไถเดินตามไถพรวนพื้นที่ใต้ต้นซึ่งสภาพดินส่วนใหญ่จะเป็นทราย เป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว ขณะเดียวกันก็จะทำเป็นแนวร่องน้ำและคันกั้นน้ำแต่ละต้นไปด้วย เป็นตารางคล้ายคันนาขนาด กว้าง x ยาว ประมาณ 6 x 6 เมตร

2. การให้น้ำ น้ำที่ใช้จะถูกส่งมาตามรางคอนกรีต ซึ่งมาจากจุดให้น้ำของหมู่บ้าน มีเครื่องสูบน้ำมาเก็บไว้ มีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ควบคุมดูแลการจ่ายน้ำ ซึ่งจะกำหนดจ่ายให้ทุกสวน ทุก 5 วัน และทุก 3 สัปดาห์ ในฤดูหนาว โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายน้ำ เมื่อไหลเข้ามาตามรางในสวนจะถูกปล่อยไปตามต้นต่างๆ ตามร่องที่เตรียมไว้

3. การใส่ปุ๋ย หลังจากเก็บผลแล้วจะมีการใส่ปุ๋ยยูเรีย 1 ครั้ง ต้นละประมาณ 3 กิโลกรัม หว่านทั่วใต้ต้น และให้ปุ๋ยคอกต้นละประมาณ 30 กิโลกรัม (1 กระสอบ) 1 ครั้ง ต่อปี หลังจากให้ปุ๋ยยูเรียแล้วประมาณ 10 วัน

4. การตัดแต่งใบ จะมีการตัดแต่งทางใบ โดยใช้เลื่อยที่มีลักษณะคล้ายเคียว ผู้ตัดจะปีนขึ้นบนต้นไปตัดทางใบที่แก่แล้วทิ้งไป ต้นละประมาณ 2-3 ทางใบ ทางใบที่ตัดออกมาจะใช้ในการทำรั้วหรือทำฟืน ขณะเดียวกันจะตัดหน่อที่แตกออกมาที่กลางต้น หรือใกล้ๆ ยอดออกด้วย ทำให้ต้นสะอาดเป็นการป้องกันแมลงศัตรูที่อาจมารบกวนได้ และทำให้การป้องกันสัตว์ที่มากัดกินผลได้ง่ายด้วย

5. การป้องกันกำจัดโรคแมลงและศัตรูอื่นๆ ไม่มีการป้องกันกำจัดโรคแมลง เนื่องจากไม่มีการระบาดของศัตรูดังกล่าว แต่มีนกหรือหนู หรือกระรอกมารบกวนกัดกินผล โดยเฉพาะในช่วงที่ผลใกล้แก่ เกษตรกรจะใช้วิธีการยิงด้วยหนังสติ๊ก หรือปืนลม


การออกดอกติดผล

1. การออกดอก เดือนมกราคมจะเริ่มออกดอก ต้นหนึ่งจะมีช่อดอกประมาณ 5-11 ช่อ และจะบานประมาณปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป โดยทยอยบานทุกๆ 5 วัน เกษตรกรจะนำเกสรตัวผู้โดยตัดจากช่อดอกตัวผู้ที่มีอยู่ในสวน ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้พันธุ์ Khori และ Bahani (สวนที่ดูงานจะมีต้นตัวผู้อยู่ 4 ต้น ก็เพียงพอสำหรับผสมกับต้นตัวเมีย ประมาณ 250 ต้น) ดอกตัวผู้สามารถเก็บไว้ใช้ได้โดยนำช่อดอกไปผึ่งแดดให้แห้ง เก็บใส่ถุงพลาสติกใส่ถังปิดฝาไว้ เก็บไว้ได้นานหลายเดือน จะผสมเกสรเสร็จประมาณเดือนมีนาคม หลังจากติดผลแล้ว 3 สัปดาห์ ทะลายที่ติดผลจะค่อยๆ โน้มห้อยลงมาใต้ทางใบทำให้ผลไม่เสียดสีกับหนามเมื่อลมพัด และสะดวกในการเก็บเกี่ยวด้วย ผลจะเริ่มแก่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม บางพันธุ์อาจแก่ก่อนนี้เป็นพันธุ์เบาซึ่งขายได้ราคาดี (เช่น พันธุ์ Battas) ปกติจะเก็บเกี่ยวมากๆ ในเดือนสิงหาคม ระยะตั้งแต่ติดผลจนถึงผลแก่ประมาณ 180-200 วัน แต่ละทะลายจะมีผลติดดกประมาณ 6-8 กิโลกรัม

2. การเก็บเกี่ยว เมื่อผลแก่จะมีสีแดง หรือเหลือง แล้วแต่พันธุ์ มีรสชาติมันและหวาน เกษตรกรจะปีนขึ้นไปโดยใช้เชือกที่ถักแบนๆ โอบรัดไปด้านหลังของเกษตรกรและพันรอบต้น แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นไปโดยใช้เท้าเหยียบไปบนต้นที่มีโคนทางใบที่หลงเหลืออยู่จากการตัด ทำให้ขึ้นได้ง่ายมาก เมื่อตัดแล้ววางลงบนตะกร้า หย่อนเชือกลงมาด้านล่าง ผู้ที่อยู่ใต้ต้นจะเป็นผู้เก็บรวบรวมเป็นกอง ปกติต้นหนึ่งๆ จะให้ผลผลิตประมาณ 100-150 กิโลกรัม (ถ้าดูแลดี แต่โดยทั่วไปจะได้น้อยกว่านี้)

3. ราคาจำหน่าย เกษตรจำหน่ายผลอินทผลัมสดในช่วงต้นฤดูกาลประมาณ กิโลกรัมละ 10-15 RO แต่ในช่วงที่ผลผลิตออกมากจะขายได้ประมาณ 0.25-0.35 RO ผลแห้งในท้องตลาดจะจำหน่ายปลีกประมาณ กิโลกรัมละ 0.35-1.0 RO ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้า 4. การแปรรูป เกษตรกรจะนำผลไปผึ่งแดด ประมาณ 7-10 วัน จนผลแห้ง (เนื้อที่เป็นแป้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งผล) แล้วนำไปล้างน้ำตากแห้งอีกเพียง 1 วัน แล้วบรรจุภาชนะเพื่อจำหน่ายต่อไป การคัดคุณภาพของผลแห้งจะแยกเป็นชนิดที่แยกเป็นผลเดี่ยวๆ ได้จะมีราคาแพง ส่วนผลที่ค่อนข้างจะติดกันจะตักขายเป็นก้อน ราคาจะถูกลง ส่วนชนิดที่เละมากจะนำไปกวนเป็นน้ำหวานสำหรับปรุงอาหาร สำหรับผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ เกษตรกรจะนำไปผึ่งแดดเก็บไว้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงวัว



ข้อคิดเห็นจากการศึกษาข้อมูลในการปลูกต้นอินทผลัมครั้งนี้ คือ


1. ต้นอินทผลัมเป็นไม้ผลเมืองร้อนแบบทะเลทราย ที่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพจะต้องมีการดูแลรักษาสวนที่ดีด้วย เช่น การให้น้ำจะต้องมีอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอและพอเพียง

2. ผลอินทผลัมสดเมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นผลอินทผลัมแห้งที่มีคุณภาพตาม ธรรมชาติ จะต้องอาศัยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง (ซึ่งเป็นสภาพของอากาศโดยทั่วไปของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง) หากเป็นประเทศที่มีความร้อนชื้นเหมือนบ้านเราจะทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ สมบูรณ์ จะเกิดเชื้อราขึ้นและเน่าในที่สุด

3. ต้นอินทผลัมเป็นต้นไม้ที่มีดอกตัวเมียและตัวผู้แยกอยู่คนละต้น ในการปลูกเพื่อมีการติดผลที่ดีจะต้องปลูกทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมียไว้ใน สวนเพื่อประโยชน์ในการผสมเกสร แต่บางพันธุ์อาจมีการติดผลและมีการพัฒนาของผลได้ดีโดยไม่ต้องมีการผสมเกสร เช่น Naghal แต่ผลที่ได้เนื้อจะบาง

4. เมล็ดของผลอินทผลัมที่ได้หลังจากบริโภคเนื้อแล้ว (โดยการซื้อผลอินทผลัมแห้งจากตลาดทั่วไป) สามารถนำไปเพาะเป็นต้นเพื่อปลูกได้ โอกาสที่จะได้เป็นต้นตัวผู้และต้นตัวเมียมีอย่างละ 50% แม้จะได้ต้นตัวเมียไปปลูกแต่คุณภาพก็จะไม่เหมือนกับต้นแม่ (คุณภาพของเนื้ออาจจะไม่ดีเท่ากับที่เราซื้อมา) เนื่องจากผลอินทผลัมแห้งที่มีจำหน่าย เป็นผลที่ได้จากการผสมเกสรข้ามต้น จึงถือว่าเมล็ดที่ได้เป็นพันธุ์ลูกผสม ซึ่งไม่สามารถเรียกชื่อเดียวกับต้นแม่ได้

5. สำหรับประเทศไทยมีหลายจังหวัดที่มีสภาพภูมิอากาศและสภาพดินที่สามารถปลูกต้น อินทผลัมได้ดี แต่ในช่วงที่ผลผลิตแก่ (ประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) เป็นฤดูฝนจะทำให้เกิดปัญหาผลเน่า ดังนั้น แนวทางที่จะผลิตเป็นการค้าสำหรับบ้านเรา คือการคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมจะจำหน่ายผลสด ลักษณะดังกล่าวควรจะมีผลขนาดโต เนื้อกรอบ รสชาติ มัน หวาน เช่น พันธุ์ Hilali พันธุ์ Khalas เมื่อผลแก่จัดสามารถตัดส่งไปจำหน่ายได้เลย ปัจจุบันมีผู้บริโภครู้จักการบริโภคผลอินทผลัมสดมากขึ้นทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย (ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมมีความคุ้นเคยกับการบริโภคผลอินทผลัมสดอยู่ แล้ว) นอกจากนั้น หากผู้ผลิตที่มีเครื่องอบผลไม้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอบพลังแสงอาทิตย์ หรือตู้ความร้อนจากไฟฟ้า หรือแก๊ส ก็สามารถใช้ผลิตผลอินทผลัมแห้งได้ดี ผลอินทผลัมแห้งที่ได้จะมีคุณภาพเช่นเดียวกับที่มาจากประเทศกลุ่มอาหรับด้วย

6. ต้นพันธุ์อินทผลัมที่ดีควรเป็นต้นที่แยกหน่อจากต้นแม่ที่รู้จักชื่อพันธุ์ และมีประวัติการให้ผลผลิตที่ดี แต่การจะสั่งต้นพันธุ์ดังกล่าวจากประเทศผู้ผลิตเข้ามาปลูกอาจจะยุ่งยาก ปัจจุบันมีต้นพันธุ์ที่ผลิตด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue culture) เพื่อการจำหน่ายแล้วในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สามารถสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตได้ การขนส่งทางไปรษณีย์ทำได้สะดวกและรวดเร็ว จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกรไทยที่จะได้ทดลองผลิตพืชใหม่ที่อาจจะ เป็นพืชที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคตก็เป็นได้


การเตรียมต้นกล้า









ลงบล็อค http://ilgreatli.blogspot.com/ ณ.วันที่ 9 / 4 / 2011      


 </div>
 ต้นอินทผลัมที่นี่ ได้จากการเพาะเมล็ด ซึ่งได้คัดเลือกสายพันธุ์ดี หลากหลายสายพันธุ์ จากประเทศแถบตะวันออกกลาง และอเมริกา เพาะเมล็ดจนงอกกระทั่งแตกใบขนนกเป็นพุ่มสวย ต้นกล้าพร้อมปลูก ปลูกในหลุมที่ขุดเตรียมไว้

          การคัดเลือกสายพันธุ์อินทผลัมนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในการตัดสินใจปลูกแบบเศรษฐกิจ ต้องรู้แหล่งที่มา และเป็นสายพันธุ์แท้ พันธุ์ดีจริงๆ หากใช้สายพันธุ์ที่ไม่ดี ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้ ผลผลิตไม่มีคุณภาพ เมล็ดเล็ก เนื้อน้อย บาง รสชาติไม่ดี หรือให้ปริมาณผลผลิตต่ำ ไม่คุ้มกับเวลา ต้นทุน แรงกาย แรงใจที่เสียไป ผู้ปลูกต้องคำนึงตรงจุดนี้ให้มาก เพราะต้นพันธุ์ดี การเจริญเติบโตก็ดี ให้ผลผลิตดี ราคาผลตอบแทนก็คุ้มค่า

          การเลือกต้นกล้าที่มีคุณภาพ เป็นปัจจัยหลักในการปลูกอินทผลัม อายุที่เหมาะสม ต้นกล้าสมบูรณ์ ไม่แสดงอาการผิดปกติทางลำต้นและใบ เลือกเฉพาะต้นที่เติบโตดี เวลาในการลงปลูก ควรเป็นช่วงต้นฤดูฝน เพราะจะได้ไม่กังวลเรื่องการรดน้ำ ทำให้ต้นกล้าตั้งตัวได้เร็วอีกด้วย



เมล็ดอินทผลัม


วิธีการเพาะกล้าอินทผลัม

    * ล้างเมล็ดอินทผลัมให้สะอาดด้วยน้ำสบู่
    * แช่น้ำยาเร่งราก หรือแช่น้ำประมาณ 12ชม.
    * นำเมล็ดไปเพาะในดินที่เตรียมไว้ ไม่ต้องลึกมาก
    * รดน้ำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

          รากจะงอกในระยะเวลาประมาณ 20 วัน จากนั้นจะมีใบอ่อนให้เห็นทีละใบ ใบอ่อนใบที่สองจะงอกในเดือนที่ 2 เป็นต้นกล้าอ่อนที่ยังไม่แข็งแรงดีนัก

          ต้นกล้าที่แข็งแรงพร้อมลงปลูกควรมีอายุประมาณ 6-8 เดือน ความสูงประมาณ 1 ฟุต


ต้นกล้าอินทผลัม อายุ 2 เดือน

เช็กสุขภาพ 'หัวใจ' ที่ 'เส้นรอบเอว'‏


เป็นที่ทราบกันดีว่า โรคหัวใจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการอาทิ การสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ฯลฯแต่ใครจะรู้หรือไม่ว่า วิธีการง่ายๆที่จะสามารถเช็คความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้ ก็คือการวัดเส้นรอบเอวของเรานี่เอง



ศ.น.พ.ปิยะมิตร ศรีธรา หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าปัจจุบันมีคนไทยป่วยด้วยโรคหัวใจเข้ารับการรักษาปีละกว่า 60,000 คน เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนถึง 50% ทั้งนี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป
เวลานี้มีข้อมูลใหม่ระบุว่า การมีเอวใหญ่จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเกิดขึ้นทันที!เพราะเส้นรอบเอวที่ ใหญ่ขึ้น นั่นหมายถึงปริมาณไขมันในช่องท้องมีมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่าตัว
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เอวของเราใหญ่เกินไปหรือไม่...
วิธีคำนวณแบบง่ายๆ ก็คือเอาความสูงของตัวเองมาหาร 2 ถ้าผลลัพธ์ที่ได้น้อยกว่าเส้นรอบเอว ก็ถือว่าเป็นคนมีเอวใหญ่แล้ว สาเหตุหลักของเอวใหญ่ขึ้น มาจากพฤติกรรมการรับประทาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการกินแป้งและน้ำตาลมากเกินไป หลายคนอาจระวังเรื่องการรับประทานอาหารเหล่านี้ แต่หลงลืมไปหรือไม่ว่า น้ำตาลแฝงอยู่ในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะเครื่องดื่มและผลไม้บางชนิด
สำหรับน้ำมันซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นสาเหตุหลัก แต่มีน้ำมันหลายชนิดที่เราบริโภคได้ โดยเฉพาะน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณที่สูง เช่น น้ำมันงาน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโบนาล่าฯลฯ ซึ่งน้ำมันเหล่านี้มีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ส่วนน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงเช่น น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าวกลั่นเย็นที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ถือว่ายังไม่มี หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันได้ว่า การทานน้ำมันชนิดนี้แล้วจะดีต่อร่างกาย ดังนั้น จึงควรพิจารณาให้รอบคอบในการเลือกซื้อ
ที่สำคัญ...ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเพราะเอวที่สมส่วน...จะสัมพันธ์กับ หัวใจที่แข็งแรง !เพราะเส้นรอบเอวที่ใหญ่ขึ้น นั่นหมายถึงไขมันในช่องท้องมีมากขึ้นซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่า ปกติถึง 2 เท่า
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

ลงบล็อค http://ilgreatli.blogspot.com/ ณ.วันที่ 9 / 4 / 2011